การรู้จักและสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคเบาหวานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว อาการของโรคเบาหวานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และบางครั้งอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกของเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองเป็นเบาหวาน การใส่ใจกับสัญญาณเตือนต่างๆ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพ
อาการทั่วไปของโรคเบาหวาน
อาการทั่วไปของโรคเบาหวานมักเกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นพร้อมกัน หรือเกิดขึ้นเพียงบางส่วน และความรุนแรงของอาการก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่พบบ่อย ได้แก่
ปัสสาวะบ่อย (Polyuria)
- กลไก : เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไตจะพยายามขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย น้ำตาลที่ถูกขับออกมาจะดึงน้ำจากร่างกายออกมาด้วย ทำให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้น และต้องปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน (Nocturia)
- ลักษณะ : ปริมาณปัสสาวะมากกว่าปกติ อาจมากกว่า 3 ลิตรต่อวัน ในบางรายอาจต้องตื่นมาปัสสาวะหลายครั้งในเวลากลางคืน
- ผลกระทบ : การสูญเสียน้ำมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอื่นๆ เช่น กระหายน้ำมาก ปากแห้ง เวียนศีรษะ
กระหายน้ำมาก (Polydipsia)
- กลไก : เนื่องจากการสูญเสียน้ำจากปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงพยายามรักษาสมดุลของน้ำโดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ
- ลักษณะ : รู้สึกกระหายน้ำมากกว่าปกติ ดื่มน้ำมากเท่าไหร่ก็ไม่หายกระหาย
- ความเชื่อมโยงกับอาการอื่นๆ : มักเกิดขึ้นควบคู่กับอาการปัสสาวะบ่อย
หิวบ่อย (Polyphagia)
- กลไก : ในภาวะเบาหวาน ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีน้ำตาลในเลือดสูง เซลล์ต่างๆ ยังคงขาดพลังงาน ทำให้ร่างกายส่งสัญญาณความหิวออกมา
- ลักษณะ : รู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา แม้จะรับประทานอาหารไปแล้วไม่นาน
- ความแตกต่างจากความหิวทั่วไป : ความหิวในผู้ป่วยเบาหวานมักไม่หายไปง่ายๆ แม้จะรับประทานอาหารเข้าไปแล้ว
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- กลไก : เมื่อร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้ ร่างกายจะดึงพลังงานสำรองจากไขมันและกล้ามเนื้อมาใช้ ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ แม้จะรับประทานอาหารตามปกติหรือมากกว่าเดิม
- ลักษณะ : น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกาย
- ความสำคัญ : การลดน้ำหนักโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นสัญญาณสำคัญที่ควรไปพบแพทย์
เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย (Fatigue)
- กลไก : การที่เซลล์ขาดพลังงานจากน้ำตาล ทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
- ลักษณะ : รู้สึกอ่อนเพลียแม้พักผ่อนเพียงพอ ไม่มีแรงทำกิจกรรมต่างๆ
- ความแตกต่างจากความเหนื่อยทั่วไป : ความเหนื่อยล้าจากเบาหวานมักเป็นแบบเรื้อรัง และไม่ดีขึ้นง่ายๆ แม้พักผ่อน
ตาพร่ามัว (Blurred Vision)
- กลไก : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอาจส่งผลต่อเลนส์ตา ทำให้เลนส์บวมและมีการเปลี่ยนแปลงค่าสายตา การเปลี่ยนแปลงนี้มักเป็นชั่วคราว และจะดีขึ้นเมื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
- ลักษณะ : มองเห็นไม่ชัด ภาพเบลอ หรือมีการเปลี่ยนแปลงค่าสายตา เช่น สายตาสั้นขึ้นหรือยาวขึ้น
- ความสำคัญ : หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางตาที่รุนแรง เช่น จอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวาน (Diabetic Retinopathy)
แผลหายช้า (Slow Wound Healing)
- กลไก : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงรบกวนกระบวนการสมานแผล ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
- ลักษณะ : แผลเล็กๆ อาจใช้เวลานานกว่าจะหาย หรืออาจกลายเป็นแผลเรื้อรัง
- ความเสี่ยง : แผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการติดเชื้อรุนแรง และอาจนำไปสู่การตัดเท้า (Diabetic Foot Ulcer)
ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่มือและเท้า (Peripheral neuropathy)
- กลไก : ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำลายเส้นประสาท โดยเฉพาะเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้เกิดอาการชา รู้สึกเหมือนเข็มทิ่ม หรือแสบร้อนบริเวณมือและเท้า
- ลักษณะ : อาการชา เสียวซ่า หรือปวดแสบปวดร้อน มักเริ่มต้นที่ปลายเท้าและลามขึ้นมาที่ขา และอาจเกิดขึ้นที่มือเช่นกัน
- ความรุนแรง : อาการอาจเป็นเล็กน้อย รบกวนชีวิตประจำวัน หรือรุนแรงจนทำให้สูญเสียความรู้สึก และเกิดแผลโดยไม่รู้ตัว
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ควรทราบ
- อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในทุกคนที่เป็นเบาหวาน และความรุนแรงของอาการก็แตกต่างกันไป
- บางคนอาจไม่มีอาการใดๆ เลย โดยเฉพาะในระยะแรกของเบาหวานชนิดที่ 2
- หากมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
อาการเฉพาะของเบาหวานแต่ละประเภท
อาการของเบาหวานแต่ละประเภทอาจมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- เบาหวานชนิดที่ 1 : มักมีอาการแสดงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้องร่วมด้วย
- เบาหวานชนิดที่ 2 : มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป และบางครั้งอาจไม่มีอาการใดๆ ในระยะแรก ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองเป็นเบาหวาน
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes) : มักไม่แสดงอาการ แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองระหว่างตั้งครรภ์
อาการที่ควรไปพบแพทย์ทันที
อาการบางอย่างบ่งบอกถึงภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ได้แก่
- ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเฉียบพลัน (Diabetic Ketoacidosis – DKA) : อาการที่สำคัญ ได้แก่ หายใจหอบลึก หายใจมีกลิ่นผลไม้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง สับสน ซึมลง และอาจหมดสติ
- ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) : อาการที่สำคัญ ได้แก่ เหงื่อออกมาก ใจสั่น หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ มือสั่น หิว อ่อนเพลีย สับสน และอาจหมดสติ
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
การสังเกตอาการเบื้องต้นของโรคเบาหวาน ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง
อาการเบาหวานที่พบบ่อยในเพศชายและหญิง
ถึงแม้ว่าอาการส่วนใหญ่ของโรคเบาหวานจะคล้ายคลึงกันในทั้งสองเพศ แต่ก็มีความแตกต่างบางประการที่ควรทราบ
- ผู้หญิง : อาจมีการติดเชื้อราในช่องคลอดบ่อยขึ้น (Vaginal yeast infections) เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา
- ผู้ชาย : อาจมีปัญหาเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) เนื่องจากความเสียหายของเส้นประสาทและหลอดเลือดที่เกิดจากเบาหวาน
น้ำตาลสะสม หรือน้ำตาลเฉลี่ยคืออะไร? (HbA1c)
น้ำตาลสะสม หรือที่เรียกว่า น้ำตาลเฉลี่ย หรือ ฮีโมโกลบิน เอวันซี (Hemoglobin A1c หรือ HbA1c) คือการตรวจวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา การตรวจนี้มีความสำคัญอย่างมากในการวินิจฉัยและติดตามการรักษาโรคเบาหวาน
- หลักการทำงาน : น้ำตาลในเลือดจะจับกับฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นโปรตีนในเม็ดเลือดแดง ยิ่งระดับน้ำตาลในเลือดสูง การจับตัวกันระหว่างน้ำตาลและฮีโมโกลบินก็ยิ่งมากขึ้น การตรวจ HbA1c จึงเป็นการวัดปริมาณฮีโมโกลบินที่จับกับน้ำตาล
- ความแตกต่างจากการตรวจน้ำตาลในเลือดทั่วไป : การตรวจน้ำตาลในเลือดทั่วไป (เช่น การตรวจระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร หรือ FPG) เป็นการวัดระดับน้ำตาลในเลือด ณ ขณะนั้น ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยต่างๆ เช่น อาหารที่รับประทานก่อนตรวจ แต่การตรวจ HbA1c แสดงถึงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้มีความแม่นยำและเป็นประโยชน์ในการประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลในระยะยาว
- ประโยชน์ของการตรวจ HbA1c
- ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบาหวาน
- ใช้ติดตามประสิทธิภาพของการรักษาโรคเบาหวาน
- ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน
- การเตรียมตัวก่อนตรวจ : การตรวจ HbA1c ไม่จำเป็นต้องงดอาหารหรือเครื่องดื่มก่อนตรวจ สามารถตรวจได้ตลอดเวลา
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคเบาหวาน
การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด และใช้เกณฑ์ที่กำหนดโดยองค์กรทางการแพทย์ต่างๆ เช่น สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย (DST) และ American Diabetes Association (ADA) เกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัย ได้แก่
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose: FPG) : งดอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นน้ำเปล่า) อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนตรวจ
- ระดับน้ำตาลในเลือด ≥ 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเข้าข่ายเบาหวาน
- การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) : ดื่มสารละลายกลูโคส และตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ
- ระดับน้ำตาลในเลือด 2 ชั่วโมงหลังดื่ม ≥ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเข้าข่ายเบาหวาน
- การตรวจ HbA1c : วัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
- ค่า HbA1c ≥ 6.5% ถือว่าเข้าข่ายเบาหวาน
- การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม (Random Plasma Glucose) : ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดโดยไม่คำนึงถึงมื้ออาหาร
- ระดับน้ำตาลในเลือด ≥ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ร่วมกับอาการของโรคเบาหวาน ถือว่าเข้าข่ายเบาหวาน
หมายเหตุ: การวินิจฉัยโรคเบาหวานควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาจากผลการตรวจหลายอย่างร่วมกัน
มีหลายวิธีในการ การรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
วิธีสังเกตอาการเบาหวานด้วยตัวเอง
การสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตัวเองสามารถช่วยให้ตระหนักถึงความผิดปกติได้เร็วขึ้น โดยสังเกตจาก
- ความถี่ในการปัสสาวะ โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- ความรู้สึกกระหายน้ำที่มากกว่าปกติ
- น้ำหนักตัวที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ความรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้า
- การเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น
การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหาโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น
สรุป
การตระหนักถึงอาการของโรคเบาหวานเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพ การสังเกตอาการเบื้องต้นและการตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบโรคเบาหวานได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที หากคุณมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นเบาหวาน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม