โรคเบาหวาน คืออะไร มีอาการอย่างไร อันตรายหรือไม่?

ทำความเข้าใจโรคเบาหวาน คืออะไร มีอาการอย่างไร? และความสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

โรคเบาหวาน คืออะไร?

โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรืออินซูลินที่ผลิตออกมาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อินซูลินเป็นฮอร์โมนสำคัญที่ผลิตจากตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่ออินซูลินทำงานผิดปกติ น้ำตาลจึงสะสมอยู่ในกระแสเลือด ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อหลอดเลือด เส้นประสาท และอวัยวะต่างๆ เช่น ไต หัวใจ ตา และเท้า

คำจำกัดความของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานคือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างเรื้อรัง ซึ่งเป็นผลมาจากความผิดปกติของการผลิตหรือการใช้อินซูลิน อินซูลินทำหน้าที่เป็นเหมือนกุญแจที่เปิดประตูให้กลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นพลังงาน เมื่อขาดอินซูลิน หรืออินซูลินทำงานได้ไม่ดีพอ น้ำตาลจึงไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้ และสะสมอยู่ในกระแสเลือด ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว เช่น ความเสียหายต่อหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา และโรคระบบประสาท

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก

1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes)

  • สาเหตุ : เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (Autoimmune Disease) ที่โจมตีและทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ หรือผลิตได้น้อยมาก ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  • ลักษณะเด่น
    • มักพบในเด็กและวัยรุ่น (Juvenile Diabetes) โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ
    • อาการมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
    • จำเป็นต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ปัจจัยเสี่ยง
    • พันธุกรรม (Genetic Predisposition) มีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เพิ่มความเสี่ยง
    • ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม (Environmental Triggers) เช่น การติดเชื้อไวรัสบางชนิด อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติในผู้ที่มีพันธุกรรมเสี่ยง
  • การวินิจฉัย : ตรวจพบ Autoantibodies (เช่น islet cell antibodies , GAD antibodies) ในเลือด ซึ่งบ่งชี้ถึงการโจมตีของระบบภูมิคุ้มกันต่อเซลล์ตับอ่อน
  • การรักษา : การฉีดอินซูลินเป็นวิธีรักษาหลัก แบ่งเป็นอินซูลินชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting insulin) อินซูลินชนิดออกฤทธิ์สั้น (Short-acting insulin) อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลาง (Intermediate-acting insulin) และอินซูลินชนิดออกฤทธิ์ยาว (Long-acting insulin) แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกชนิดและปริมาณอินซูลินที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)

  • สาเหตุ : เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) คือร่างกายยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ต่างๆ ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการผลิตอินซูลินที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
  • ลักษณะเด่น
    • เป็นประเภทที่พบมากที่สุด ประมาณ 90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด
    • มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันพบมากขึ้นในคนหนุ่มสาวและเด็กที่มีภาวะอ้วน
    • มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน การไม่ออกกำลังกาย และประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
    • อาการมักค่อยเป็นค่อยไปและไม่ชัดเจนในระยะแรก
  • ปัจจัยเสี่ยง
    • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (Overweight/Obesity)
    • การไม่ออกกำลังกาย (Physical Inactivity)
    • ประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
    • อายุที่มากขึ้น (Increasing Age)
    • เชื้อชาติ (บางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่า)
    • ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Gestational Diabetes) ในอดีต
  • การวินิจฉัย : ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (Fasting Plasma Glucose: FPG) , การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) หรือการตรวจ HbA1c
  • การรักษา
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Modification) การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการลดน้ำหนัก
    • ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Hypoglycemic Agents) มีหลายกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์แตกต่างกัน เช่น Metformin , Sulfonylureas , DPP-4 inhibitors , SGLT2 inhibitors
    • อินซูลิน ในบางรายที่การควบคุมด้วยวิธีอื่นไม่เพียงพอ อาจต้องใช้การฉีดอินซูลิน

3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)

  • สาเหตุ : เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินลดลง (Insulin Resistance) ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
  • ลักษณะเด่น
    • เกิดขึ้นในสตรีตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อน
    • มักตรวจพบในช่วงไตรมาสที่สองหรือสามของการตั้งครรภ์
    • โดยทั่วไปจะหายไปหลังคลอดบุตร
  • ความเสี่ยง
    • ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนก่อนตั้งครรภ์
    • ประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
    • เคยมีประวัติเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
    • อายุมากกว่า 35 ปี
  • ผลกระทบ
    • ต่อมารดา : เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
    • ต่อทารก : อาจทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ (Macrosomia) ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด (Hypoglycemia) และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนและเบาหวานในอนาคต
  • การวินิจฉัย : การทดสอบความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT) ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์
  • การรักษา : การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และในบางรายอาจต้องใช้อินซูลิน

4. โรคเบาหวานชนิดอื่นที่มีสาเหตุเฉพาะ (Specific Types of Diabetes)

  • สาเหตุ : เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genetic Defects) โรคของตับอ่อน (Pancreatic Diseases) เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (Chronic Pancreatitis) หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ (Steroids) หรือยาต้านไวรัส HIV บางชนิด
  • ตัวอย่าง
    • Monogenic Diabetes เกิดจากความผิดปกติของยีนเดี่ยว เช่น Maturity-Onset Diabetes of the Young (MODY) และ Neonatal Diabetes
    • Cystic Fibrosis-Related Diabetes (CFRD) เกี่ยวข้องกับโรคซิสติก ไฟโบรซิส ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของตับอ่อน
    • Drug-Induced Diabetes เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด
  • การวินิจฉัยและการรักษา : ขึ้นอยู่กับสาเหตุเฉพาะของโรคเบาหวานแต่ละชนิด
อวัยวะสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวาน แสดงตับอ่อนและหลอดเลือดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอินซูลิน

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง (เบื้องต้น)

สาเหตุของโรคเบาหวานมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย ดังนี้

  • พันธุกรรม (Genetics) : ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (Overweight/Obesity) : เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2
  • การไม่ออกกำลังกาย (Physical Inactivity) : การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน
  • อายุที่มากขึ้น (Increasing Age) : ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ
  • ภาวะดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance) : เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม

แนะนำอ่าน 5 สาเหตุของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน

อาการเบื้องต้นของโรคเบาหวาน

อาการของโรคเบาหวานอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางรายอาจไม่มีอาการแสดงในระยะแรก อาการทั่วไปที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน (Polyuria)
  • กระหายน้ำมากผิดปกติ (Polydipsia)
  • หิวบ่อย กินจุ (Polyphagia)
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า (Fatigue)
  • ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด (Blurred Vision)
  • แผลหายช้า (Slow Wound Healing)

สิ่งสำคัญคือ อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะในระยะแรกของเบาหวานชนิดที่ 2 การตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงมีความสำคัญในการตรวจหาโรคเบาหวานในระยะเริ่มต้น

หากคุณสงสัยว่าตนเองมี อาการของโรคเบาหวาน หรือไม่ ลองตรวจสอบอาการต่างๆ ได้ที่นี่

ชั่งน้ำหนักระหว่างอาหารสุขภาพ (ผลไม้) และเครื่องมือควบคุมเบาหวาน เช่น เครื่องวัดน้ำตาลและอาหารเสริม

ความสำคัญของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจรุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตา โรคระบบประสาท และแผลที่เท้า

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ นอกจากนี้ การใช้เครื่องตรวจน้ำตาลที่บ้าน (Blood Glucose Meter) ร่วมกับการปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน (Diabetologist) จะช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

สรุป

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวาน ประเภท สาเหตุ อาการ และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนใกล้ชิดได้อย่างเหมาะสม หากคุณมีข้อสงสัยหรือมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจสุขภาพเป็นประจำก็เป็นสิ่งสำคัญในการค้นหาโรคเบาหวานตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อการรักษาที่ทันท่วงทีและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

คำถามที่พบบ่อย(FAQ)

โรคเบาหวานคืออะไร? มีอาการอย่างไร?

โรคเบาหวานคือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรืออินซูลินที่ผลิตมาทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก หิวบ่อย น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว และแผลหายช้า

บาหวานชนิดที่ 1 และ 2 ต่างกันอย่างไร?

เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน มักพบในเด็กและวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน คือร่างกายยังผลิตอินซูลินได้ แต่เซลล์ไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกินและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

เบาหวานขณะตั้งครรภ์คืออะไร? อันตรายหรือไม่?

เบาหวานขณะตั้งครรภ์คือภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ มักหายไปหลังคลอด แต่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต ทั้งต่อแม่และลูก อาจทำให้ทารกมีขนาดตัวใหญ่กว่าปกติและมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด

เป็นเบาหวานแล้วจะหายได้ไหม?

เบาหวานชนิดที่ 1 รักษาไม่หาย ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย บางรายอาจต้องใช้ยา แต่ไม่หายขาด เบาหวานขณะตั้งครรภ์มักหายหลังคลอด

ใครบ้างที่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน?

ผู้ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และบางเชื้อชาติมีความเสี่ยงสูงกว่า