รักษาโรคเบาหวานอย่างไร? รู้ทันรักษาได้

เป็นเบาหวานจะรักษาอย่างไร? ควบคุมน้ำตาลอย่างไร? พบคำตอบและข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการรักษาเบาหวานได้ที่นี่!

เป้าหมายหลักของการรักษาโรคเบาหวานคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้เคียงมากที่สุด เพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ไต ตา และระบบประสาท สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจคือ โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว

เราจะมาดูกันว่า เบาหวานคืออะไร และมีผลกระทบต่อสุขภาพของเราอย่างไร

การรักษาโรคเบาหวานแผนปัจจุบัน

การรักษาโรคเบาหวานแผนปัจจุบันประกอบด้วยวิธีการหลัก 3 ประการ ได้แก่

1. การควบคุมอาหาร (Medical Nutrition Therapy – MNT)

การควบคุมอาหารเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเบาหวาน โดยมีหลักการดังนี้

  • ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate Counting) : เน้นการเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และหลีกเลี่ยงคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น น้ำตาล ขนมหวาน น้ำอัดลม
  • เพิ่มใยอาหาร (Dietary Fiber) : ใยอาหารช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและช่วยระบบขับถ่าย พบมากในผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วต่างๆ
  • ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ (Saturated and Trans Fats) : ไขมันเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน ควรเลือกรับประทานไขมันดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน พบในน้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่ว และปลาที่มีไขมัน
  • ควบคุมปริมาณการบริโภคโดยรวม : รับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
จานอาหารเพื่อสุขภาพประกอบด้วยปลาและผัก พร้อมสัญลักษณ์การวางแผนและควบคุมโภชนาการสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

2. การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างมากในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน และช่วยควบคุมน้ำหนัก รูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสม ได้แก่

  • แอโรบิก (Aerobic Exercise) : เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเต้นแอโรบิก
  • เวทเทรนนิ่ง (Weight Training) : ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการใช้น้ำตาลเป็นพลังงาน

ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยแบ่งออกเป็นครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายเพื่อวางแผนการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

กลุ่มคนออกกำลังกายวิ่งกลางแจ้งตอนเช้าเพื่อส่งเสริมสุขภาพและควบคุมโรคเบาหวาน

3. การใช้ยา

การใช้ยาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเบาหวาน โดยมีทั้งยาเม็ดและอินซูลิน

  • ยาเม็ดลดระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Hypoglycemic Agents) : มีหลายกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์แตกต่างกัน เช่น
    • Metformin : ช่วยลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเพิ่มความไวต่ออินซูลิน
    • Sulfonylureas : กระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตอินซูลิน
    • DPP-4 inhibitors : ช่วยเพิ่มระดับอินเครติน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
    • SGLT2 inhibitors : ช่วยขับน้ำตาลส่วนเกินออกทางปัสสาวะ
  • อินซูลิน (Insulin) : ใช้ในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือยาเม็ดไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ประเภทของอินซูลิน ได้แก่ อินซูลินออกฤทธิ์เร็ว (Rapid-acting insulin) อินซูลินออกฤทธิ์สั้น (Short-acting insulin) อินซูลินออกฤทธิ์ปานกลาง (Intermediate-acting insulin) และอินซูลินออกฤทธิ์นาน (Long-acting insulin) การฉีดอินซูลินต้องทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามผลข้างเคียงของยาอย่างใกล้ชิด

การติดตามผลการรักษา

การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอด้วยตนเอง (Self-Monitoring of Blood Glucose – SMBG) และการพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาและปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจ HbA1c (Hemoglobin A1c) เป็นการตรวจวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา และใช้ประเมินประสิทธิภาพของการควบคุมเบาหวาน

การรักษาโรคเบาหวานแบบธรรมชาติ

การรักษาโรคเบาหวานแบบธรรมชาติ เช่น การใช้สมุนไพรบางชนิด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การจัดการความเครียด การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้บ้าง แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนการรักษาแผนปัจจุบันได้ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีการใดๆ

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชาสมุนไพรที่อาจมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สามารถอ่านได้ที่ ชาที่ใช้ในการแก้โรคเบาหวาน

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นเบาหวาน

การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง : ช่วยให้ทราบระดับน้ำตาลในเลือดและปรับการใช้ยาและการรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสม
  • การดูแลเท้า : การดูแลเท้าอย่างเหมาะสมช่วยป้องกันแผลเบาหวาน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
  • การจัดการความเครียด : ความเครียดอาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำสมาธิ การออกกำลังกาย หรือการพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสิ่งสำคัญ
  • การงดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ : การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการ การดูแลตัวเองเมื่อเป็นเบาหวาน เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดี

การป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวาน การตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น การตรวจตา การตรวจไต การตรวจระบบประสาท อย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ จะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะแรกและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

สรุป

การรักษาโรคเบาหวานเป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยาอย่างถูกต้อง และการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

คำถามที่พบบ่อย(FAQ)

รักษาโรคเบาหวานอย่างไร?

การรักษาเบาหวานมุ่งเน้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ประกอบด้วย การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การใช้ยา (ยาเม็ดหรืออินซูลิน) และการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

เป็นเบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตหรือไม่?

เบาหวานชนิดที่ 1 ต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 บางรายสามารถควบคุมได้ด้วยอาหารและออกกำลังกาย โดยไม่ต้องใช้ยา หรืออาจใช้ยาในช่วงแรกและลดลงได้เมื่อควบคุมได้ดี แต่ส่วนใหญ่มักต้องใช้ยาต่อเนื่องในระยะยาว

ออกกำลังกายแบบไหนดีสำหรับคนเป็นเบาหวาน?

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน และเวทเทรนนิ่ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนที่เหมาะสม

ควบคุมอาหารอย่างไรเมื่อเป็นเบาหวาน?

เน้นการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เพิ่มใยอาหาร ลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ ควบคุมปริมาณการบริโภคโดยรวม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อวางแผนอาหารที่เหมาะสม

จะป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานได้อย่างไร?

การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมระดับไขมันในเลือด การงดสูบบุหรี่ การตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองภาวะแทรกซ้อนอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์